ท่านอุมัร บิน อบี ซะละมะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า “ตอนฉันเป็นเด็กอยู่ในการดูแลของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มือของฉันจะหยิบโน่นหยิบนี่จากภาชนะอาหาร ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวกับฉันว่า: “โอ้เด็กน้อย จงกล่าว บิสมิลลาฮ์ และจงรับประทานด้วยมือขวา และจงรับประทานสิ่งที่อยู่ถัดจากเจ้า” และฉันยังคงรักษาซุนนะฮ์ในการรับประทานอาหารแบบนี้มาตลอด หลังจากนั้น (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 5376 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2022)
หากลืมกล่าว บิสมิลลาฮ์ เมื่อนึกขึ้นได้ก็จงกล่าวว่า “บิสมิลลาฮิ เอาวะละฮุ วะอาคิเราะฮุ” ความว่า ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเริ่มแรก และผู้ทรงสุดท้าย
ดังฮะดีษที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “เมื่อคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านรับประทานอาหาร ก็จงกล่าวว่า บิสมิลลาฮ์ และหากลืมกล่าวในตอนแรกก็จงกล่าวว่า : บิสมิลลาฮิ เอาวะละฮุ วะอาคิเราะฮุ” (บันทึกโดยอบูดาวูด ฮะดีษลำดับที่ 3767 บันทึกโดยอัตติรมิซีย์ ฮะดีษลำดับที่ 1858 อัลอัลบานีย์กล่าวว่าเศาะฮีห์)
ฮะดีษนี้ยังได้บ่งชี้ว่าจะต้องรับประทานอาหารด้วยมือขวา เพื่อไม่ให้เหมือนกับชัยฏอน ดังนั้นหากผู้ใดรับประทานอาหารโดยไม่ได้กล่าว บิสมิลลาฮ์ ชัยฏอนจะรวมรับประทานอาหารกับเขาด้วย และหากเขารับประทานอาหารด้วยมือซ้ายก็จะเหมือนกับชัยฏอน เพราะชัยฏอนกินและดื่มด้วยมือซ้าย
หลักฐานคือ:
ดังที่ท่านอับดุลลอฮ์ บิน อุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา รายงานว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่าน อย่าได้กินหรือดื่มด้วยมือซ้ายเด็ดขาด เพราะชัยฏอนกินและดื่มด้วยมือซ้าย” ในรายงานของนาฟิอ์ท่านกล่าวเพิ่มว่า “และอย่ารับและยื่นให้ด้วยมือซ้าย” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2020)
และชัยฏอนมีความกระหายอย่างมากที่จะเข้าไปนอนในบ้าน เพื่อร่วมรับประทานอาหารและเครื่องดื่มของเจ้าของบ้าน แท้จริงท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “เมื่อชายคนหนึ่งได้เข้าบ้านของเขา แล้วเขากล่าวชื่อของอัลลอฮ์ตอนเข้าบ้านและตอนรับประทานอาหาร ชัยฏอนจะพูดว่า ไม่มีที่นอนและอาหารสำหรับพวกเจ้าแล้ว และหากเขาไม่ได้กล่าวชื่อของอัลลอฮ์ตอนเข้าบ้าน ชัยฏอนจะพูดว่า พวกเจ้ามีที่นอนแล้ว และหากเขาไม่กล่าวชื่อของอัลลอฮ์ขณะรับประทานอาหาร ชัยฏอนจะพูดว่า พวกเจ้ามีที่นอนและอาหารแล้ว” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2018)
ดังฮะดีษที่ท่านญาบิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่าฉันได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “แท้จริงชัยฏอนจะมาร่วมในทุกๆ กิจการของคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่าน แม้กระทั่งในการรับประทานอาหารของเขา เมื่อมีอาหารคำใดตกลงบนพื้น เขาจงหยิบขึ้นมาทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ออก แล้วจงรับประทานมันอย่าทิ้งมันให้กับชัยฏอน และเมื่อรับประทานเสร็จก็จงเลียนิ้วของเขา เพราะเขาไม่รู้ว่าความจำเริญของอาหารอยู่ที่ส่วนไหนของมัน” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2033)
หากใคร่ครวญฮะดีษนี้ให้ดีจะพบว่า ชัยฏอนมีความกระหายอย่างมากที่จะมีส่วนร่วมในทุกการงานของมนุษย์ เพื่อปลดความจำเริญออกจากชีวิตเขา และสร้างความเสียหายให้กับกิจการของเขา และสิ่งที่บ่งชี้ถึงความพยายามของชัยฏอนที่ติดตามมนุษย์ในทุกกิจการของเขาคือคำพูดของ
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ท่านกล่าวว่า: “แท้จริงชัยฏอนจะมาร่วมในทุกๆ กิจการของคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่าน”
การเลียนิ้วเมื่อรับประทานอาหารหมดแล้ว เป็นซุนนะฮ์ และมีซุนนะฮ์ให้ดูดนิ้วตัวเอง หรือดูดนิ้วคนอื่นด้วย เช่นภรรยาของเขา เป็นต้น และมีซุนนะฮ์ไม่ให้เช็ดมือด้วยผ้าหรือกระดาษ หรือสิ่งอื่นๆ จนกว่าจะได้เลียให้เกลี้ยงเสียก่อน
หลักฐานคือ: ฮะดีษของท่านญาบิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ที่กล่าวมาแล้ว
และในฮะดีษที่ท่านอิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา รายงานว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “เมื่อคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านรับประทานอาหารเสร็จแล้ว อย่าได้เช็ดมือของเขา จนกว่าเขาจะได้เลียมันเสียก่อน” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 5456 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2033)
ความหมายคือ ทำความสะอาดภาชนะใส่อาหารด้วยการปาดอาหารที่เหลืออยู่มากินจนสะอาด เพราะความจำเริญอาจจะอยู่ในอาหารที่เหลืออยู่ที่ขอบจานก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่น เวลาทานข้าว ก็ให้ปาดข้าวที่อยู่ขอบจานหรือภาชนะมากินให้หมด เพราะบะเราะกะฮ์ของอาหารอาจจะอยู่ที่อาหารจากขอบจานนั่นเอง
หลักฐานคือ: ฮะดีษที่ท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ใช้ให้พวกเรากวาดอาหารจนภาชนะใส่อาหารสะอาด” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2034)
และในฮะดีษที่ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ รายงานว่าท่านนบีกล่าวว่า: “คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านจงกวาดอาหารจนภาชนะสะอาด” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2035)
ชัยค์ อิบนุ อุษัยมีน เราะฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่า “หมายความว่า เมื่อรับประทานอาหารหมดก็ให้ใช้นิ้วเช็ดภาชนะใส่อาหารนั้นแล้วเลียนิ้ว นี่เป็นซุนนะฮ์ที่ผู้คนจำนวนมากเพิกเฉยที่จะปฏิบัติมัน และที่น่าเสียใจคือนักศึกษาศาสนาก็เพิกเฉยเช่นกัน” (ดูใน ชัรห์ ริยาฎ อัศศอลิฮีน 1/892)
มีซุนนะฮ์ให้รับประทานอาหารด้วยนิ้วสามนิ้วสำหรับอาหารที่รับประทานด้วยสามนิ้วได้ เช่น ผลอินทผลัม เป็นต้น
หลักฐานคือ: ฮะดีษที่ท่านกะอับ บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม รับประทานอาหารด้วยนิ้วสามนิ้ว และเลียนิ้วของท่านก่อนจะเช็ดมัน” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2032)
มีซุนนะฮ์ให้ดื่มน้ำจากภาชนะแบ่งเป็นสามครั้ง และให้หายใจข้างนอกหลังจากดื่มเสร็จในแต่ละครั้ง
หลักฐานคือ: ฮะดีษที่ท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า “ในการดื่มน้ำท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะหายใจสามครั้ง และท่านกล่าวว่า: “แท้จริงมันทำให้อิ่ม ทำให้เราสุขภาพดี และได้รสชาติ” ท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: “ฉันก็หายใจสามครั้งในการดื่มน้ำ” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 5631 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2028)
ความหมายของการหายใจในการดื่มน้ำนี้คือ หายใจนอกภาชนะ ดังฮะดีษของท่านอบู เกาะตาดะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ที่กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “เมื่อคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านดื่ม จงอย่าหายใจรดลงไปในภาชนะ” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 5630 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 267)
หลักฐานที่บ่งชี้ถึงซุนนะฮ์นี้คือ:
ฮะดีษที่ท่านอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “แท้จริงอัลลอฮ์ทรงพอใจบ่าวที่เมื่อเขารับประทานอาหารและดื่มเสร็จแล้วเขาก็กล่าวคำสรรเสริญต่ออัลลอฮ์” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2743)
การกล่าวคำสรรเสริญต่ออัลลอฮ์มีหลายสำนวน เช่น:
ก.
الْحَمْدُ لِلَّهِ كَثِيرًا طَيِّبًا مُبَارَكًا فِيهِ، غَيْرَ مَكْفِيٍّ ، وَلَا مُوَدَّعٍ، وَلَا مُسْتَغْنًى عَنْهُ رَبَّنَا.
อ่านว่า “อัลฮัมดุลิลลาฮิ กะษีร็อน ฏ็อยยิบัน มุบาเราะกัน ฟีฮิ, ฆ็อยเราะ มักฟียิน, วะลา มุวัดดะอิน, วะลา มุสตัฆนัน อันฮุ ร็อบบะนา”
ความว่า “การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ เป็นการสรรเสริญที่มากมาย ดีงาม และจำเริญอยู่ในนั้น โดยที่เราไม่อาจจะขาดการพึ่งพิงพระองค์ได้ในขณะที่พระองค์ไม่ต้องพึ่งผู้ใดเลย เราไม่อาจจะทอดทิ้งพระองค์ และไม่อาจพึ่งตัวเองโดยปราศจากพระองค์ได้ โอ้พระผู้อภิบาลของเรา” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 5458)
ข.
الْحَمْدُ لِلَّهِ الَّذِي كَفَانَا وَأَرْوَانَا، غَيْرَ مَكْفِيٍّ وَلَا مَكْفُورٍ
อ่านว่า “อัลฮัมดุลิลลาฮิล ละซี กะฟานา, วะอัรวานา ฆ็อยรอ มักฟียิน วะลา มักฟูร”
ความว่า “การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ผู้ซึ่งให้ความเพียงพอแก่เราและให้ความอิ่มแก่เรา โดยที่เรายังคงต้องการพึ่งพิงพระองค์อยู่เสมอในขณะที่พระองค์ไม่ต้องพึ่งผู้ใด และความดีของพระองค์จะไม่ถูกปฏิเสธ” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 5459)
คำว่า “ฆ็อยรอ มักฟียิน” คือ พระองค์ไม่ต้องการผู้ใดอีก เพราะอัลลอฮ์คือผู้ที่ให้อาหารแก่ปวงบ่าวและให้พวกเขาอย่างเพียงพอ
คำว่า “วะลา มุวัดดะอ์” คือ ไม่ถูกทอดทิ้ง
คำว่า “กะฟานา” คือ ทำให้เพียงพอ
คำว่า “อัรวานา” คือ ทำให้หายจากการกระหาย
คำว่า “วะลา มักฟูร” คือความประเสริฐและความโปรดปรานของอัลลอฮ์จะไม่ถูกปฏิเสธ
มีซุนนะฮ์ให้รับประทานอาหารพร้อมกัน โดยไม่แยกกันรับประทาน
หลักฐานคือ: ฮะดีษที่ท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “อาหารของหนึ่งคนเพียงพอสำหรับคนสองคน อาหารของสองคนเพียงพอสำหรับคนสี่คน และอาหารของสี่คนเพียงพอสำหรับคนแปดคน” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2059)
การชมอาหารเมื่อถูกใจอาหารถือเป็นซุนนะฮ์ แน่นอนว่า ไม่มีใครชมอาหารใดนอกจากเพราะในอาหารนั้นมีสิ่งที่ควรให้ชม
หลักฐานคือ: ฮะดีษที่ท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ขออาหารจากภรรยาของท่าน พวกเขากล่าวว่า เรามีแต่ ค็อล เท่านั้น ท่านจึงเรียกให้เอามา แล้วท่านก็กินแล้วพูดว่า “อาหารรสเลิศที่สุดคือ ค็อล อาหารรสเลิศที่สุดคือ ค็อล” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2052)
ค็อล คืออาหารชนิดหนึ่งในสมัยนั้นมีรสชาติหวาน ไม่ใช่มีรสเปรี้ยวเหมือนค็อล (น้ำส้ม) ของเราในปัจจุบัน
ชัยค์อิบนุ อุษัยมีน เราะฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่า “และนี่ก็คือแบบอย่างของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เช่นกัน เมื่อท่านพอใจในอาหารท่านก็จะชม เช่นหากคุณต้องการชมขนมปัง คุณก็พูดว่า ขนมปังที่รสชาติดีที่สุดคือขนมปังของคนนั้นคนนี้ เป็นต้น และนี่ก็คือซุนนะฮ์ของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เช่นกัน (ดูใน ชัรห์ ริยาฎ อัศศอลิฮีน 2/1057)
หากเราสังเกตดูสังคมของเราในปัจจุบันจะพบว่าคนจำนวนมากทำตัวขัดแย้งกับซุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่เพียงแค่ทิ้งซุนนะฮ์เท่านั้น แต่ทำตรงกันข้ามด้วยซ้ำไป ทั้งตำหนิ ทั้งดูถูกอาหารซึ่งตรงข้ามกับแบบอย่างของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยสิ้นเชิง ในฮะดีษท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้กล่าวว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่เคยตำหนิอาหารเลย หากท่านชอบท่านก็ทาน หากไม่ชอบท่านก็ไม่ทาน” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 3563 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2064)
หลักฐานคือ: ฮะดีษที่ท่าน อับดุลลอฮ์ บิน บุสร์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า “ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้มาเป็นแขกของพ่อฉัน พวกเราก็ได้นำอาหารและ วัฏบะฮ์ (ขนมชนิดหนึ่ง)มาต้อนรับท่าน ท่านก็ทาน จากนั้นลูกอินทผลัมก็ถูกนำมา ท่านทานอินทผลัมด้วยการเอาเมล็ดของมันไว้ระหว่างสองนิ้ว ด้วยการรวบนิ้วชี้กับนิ้วกลางเข้าด้วยกัน แล้วเครื่องดื่มก็ถูกนำมา ท่านก็ดื่ม แล้วท่านก็ยื่นให้กับคนที่อยู่ข้างขวาของท่าน เขากล่าวว่า พ่อของฉันกล่าวตอนที่ท่านนบีถือบังเหียนสัตว์พาหนะของท่านว่า ขอดุอาอ์ให้แก่พวกเราด้วยเถิด ท่านจึงกล่าวว่า:
اللَّهُمَّ بَارِكْ لَهُمْ فِيْمَا رَزَقْتَهُمْ، وَاغْفِرْ لَهُمْ وَارْحَمْهُمْ
อ่านว่า “อัลลอฮุมมะ บาริก ละฮุม ฟี มา รอซักตะฮุม, วัฆฟิรละฮุม วัรฮัมฮุม”
ความว่า “โอ้อัลลอฮ์ โปรดประทานความจำเริญแก่พวกเขาในสิ่งที่พระองค์ประทานให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา และโปรดอภัยโทษให้แก่พวกเขา และโปรดเมตตาพวกเขา” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2042) “วัฏบะฮ์” คือขนมที่มีส่วนผสมของผลอินทผลัม แป้ง และน้ำมันเนย
เมื่อดื่มน้ำมีซุนนะฮ์ให้คนที่อยู่ทางขวามือดื่มก่อนคนที่อยู่ทางซ้ายมือ
หลักฐานคือ: ฮะดีษที่ท่านอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า “ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้มาหาพวกเราที่บ้านและขอเครื่องดื่ม พวกเราจึงรีดนมแพะให้แก่ท่าน และฉันก็ผสมน้ำจากบ่อน้ำของฉันให้แก่ท่าน ท่านก็ดื่ม ขณะนั้นท่านอบูบักรอยู่ข้างซ้ายของท่าน ท่านอุมัรอยู่ตรงหน้าท่าน และชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งอยู่ทางขวาของท่าน เมื่อท่านเราะซูลุลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดื่มเสร็จ ท่านอุมัรพูดว่า ท่านอบูบักรอยู่นี่ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แต่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ยื่นให้ชายชาวชนบทคนนั้นดื่มก่อนอบูบักรและอุมัร ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ผู้ที่อยู่ข้างขวาก่อน ผู้ที่อยู่ข้างขวาก่อน ผู้ที่อยู่ข้างขวาก่อน” ท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: “นี่คือซุนนะฮ์ นี่คือซุนนะฮ์ นี่คือซุนนะฮ์” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 2571 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2029)
มีซุนนะฮ์ให้คนที่รินน้ำต้องเป็นคนที่ดื่มคนสุดท้าย
หลักฐานคือ: ฮะดีษยาวที่ท่านอบู เกาะตาดะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า “…ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้รินน้ำให้พวกเขาดื่มทุกคนจนเหลือฉันและตัวท่านเราะซูลเอง จากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้รินน้ำให้แก่ฉันและกล่าวว่า “จงดื่ม” ฉันกล่าวว่า “ฉันไม่ดื่มจนกว่าท่านจะดื่มก่อนโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์” ท่านจึงกล่าวว่า “ผู้ที่รินน้ำต้องเป็นคนสุดท้ายที่ดื่ม” ฉันจึงรับมาดื่ม แล้วท่านเราะซูลุลลอฮก็ดื่มเป็นคนสุดท้าย…” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 681)
เกร็ด: สำหรับผู้ที่ดื่มนม หลังจากดื่มนมเสร็จแล้วมีซุนนะฮ์ให้กลั้วปากด้วยน้ำเปล่าเพื่อล้างปากให้ร่องรอยที่เหลือของไขมันนมหายไป
หลักฐานคือ: ฮะดีษที่ท่านอิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า “แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ดื่มนม และขอน้ำมาบ้วนปาก และท่านกล่าวว่า “แท้จริงมันมีไขมัน” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 211 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 358)
เมื่อตกค่ำมีซุนนะฮ์ให้ปิดภาชนะใส่อาหารและน้ำที่เปิดอยู่ และกล่าว บิสมิลลาฮ์ ขณะปิด
หลักฐานคือ: ฮะดีษที่ท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “พวกท่านจงปิดฝาภาชนะใส่อาหาร และผูกปากถุงน้ำ เพราะในปีหนึ่งจะมีคืนหนึ่งที่เชื้อโรคลงมา มันจะไม่ผ่านภาชนะใดที่ไม่มีฝาปิดหรือไม่มีเชือกผูกนอกจากมันจะลงไปในนั้น” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 2014) และฮะดีษจากท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา เช่นกันรายงานว่าท่านนบีกล่าวว่า: “และจงผูกถุงหนังใส่น้ำ และกล่าว บิสมิลลาฮ์ และจงปิดฝาภาชนะใส่อาหาร และกล่าว บิสมิลลาฮ์ แม้ด้วยการวางสิ่งหนึ่งทับไว้ข้างบนก็ตาม” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 5623)