หากมีใครถามว่า แล้วเวลาไหนคือเวลาที่ประเสริฐที่สุด?
คำตอบคือ: เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าเวลาของละหมาดวิตร์เริ่มตั้งแต่หลังละหมาดอิชาอ์จนกระทั่งรุ่งอรุณ เวลาของละหมาดวิตร์อยู่ระหว่างละหมาดอิชาอ์กับศุบห์
หลักฐานคือ:
ฮะดีษที่รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ที่นางกล่าวว่า: “ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ละหมาดระหว่างอิชาอ์กับศุบห์สิบเอ็ดร็อกอะฮ์ ท่านให้สลามทุกสองร็อกอะฮ์ และครั้งสุดท้ายละหมาดร็อกอะฮ์เดียว” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 2031 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 736)
ส่วนเวลาที่ประเสริฐที่สุดคือ: หนึ่งส่วนสามของคืนหลังจากเที่ยงคืนไปแล้ว
ความหมายคือแบ่งกลางคืนออกเป็นหกส่วน แล้วลุกขึ้นละหมาดในส่วนที่สี่และห้า และนอนอีกครั้งในส่วนที่หก
หลักฐานคือ: ฮะดีษที่รายงานจากท่านอับดุลลอฮ์ บิน อัมร์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ท่านกล่าวว่า: ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “การถือศีลอดที่อัลลอฮ์ชอบมากที่สุดคือการถือศีลอดของนบีดาวูด (ท่านถือศีลอดวันเว้นวัน) และละหมาดที่อัลลอฮ์ชอบมากที่สุดคือการละหมาดของท่านนบีดาวูด ท่านจะนอนครึ่งคืนและลุกขึ้นมาละหมาดหนึ่งส่วนสามของคืน และนอนอีกครั้งในหนึ่งส่วนหกสุดท้ายของคืน” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่3420 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 1159)
หากต้องการปฏิบัติตามซุนนะฮ์นี้จะต้องแบ่งกลางคืนของเขาอย่างไร?
ต้องนับรวมเวลาตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตกจนถึงรุ่งอรุณ แล้วแบ่งเป็นหกส่วน สามส่วนแรกอยู่ในครึ่งคืนแรก แล้วลุกขึ้นละหมาดในส่วนที่สี่และห้า สองส่วนนี้รวมกันได้เท่ากับหนึ่งส่วนสามของทั้งคืน แล้วนอนอีกทีในส่วนที่หก ด้วยเหตุนี้ท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา จึงกล่าวว่า: “ช่วงซะฮัร(ก่อนรุ่งอรุณเล็กน้อย)เวลาที่ท่านนบีอยู่บ้านฉัน ฉันไม่เคยเห็นท่านทำอย่างอื่นนอกจากว่าท่านจะต้องนอนในช่วงนั้น” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 1133 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 742)
ด้วยแนวทางนี้ มุสลิมผู้ศรัทธาจะได้ละหมาดกิยามุลลัยล์ในเวลาที่ประเสริฐที่สุด ตามที่ปรากฏในฮะดีษของท่านอับดุลลอฮ์ บิน อัมร์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ข้างต้น
สรุปคือ เวลาที่ประเสริฐสำหรับละหมาดกิยามุลลัยล์แบ่งออกเป็นสามระดับ ดังนี้:
ระดับที่หนึ่ง: นอนครึ่งคืนแรกแล้วลุกขึ้นละหมาดหนึ่งส่วนสามของคืนแล้วนอนอีกหนึ่งส่วนหกของคืน ดังที่ได้อธิบายมาแล้วก่อนหน้านี้
หลักฐานคือ: ฮะดีษของท่านอับดุลลอฮ์ บิน อัมร์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ที่กล่าวไว้เมื่อสักครู่
ระดับที่สอง: ลุกขึ้นละหมาดหนึ่งส่วนสามสุดท้ายของคืน
หลักฐานคือ: ฮะดีษของท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ที่กล่าวว่า: ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “พระผู้อภิบาลของเรา จะทรงลงมายังฟากฟ้าดุนยาเมื่อถึงหนึ่งส่วนสามสุดท้ายของคืน และพระองค์จะตรัสว่า : ใครขอดุอาอ์ต่อข้า ข้าจะตอบรับดุอาอ์ของเขา ใครขอสิ่งใดต่อข้า ข้าจะให้สิ่งนั้นแก่เขา ใครขออภัยโทษต่อข้า ข้าจะให้อภัยแก่เขา" (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 1145 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 758) เช่นเดียวกับในฮะดีษญาบิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ที่จะได้กล่าวถึงต่อไป
หากเกรงว่าจะไม่ตื่นในช่วงสุดท้ายของกลางคืน ก็จงละหมาดช่วงแรกของคืน หรือช่วงไหนของคืนก็ได้ที่สะดวกจะละหมาด และนี่คือระดับที่สาม
ระดับที่สาม: ละหมาดในช่วงแรกของคืนหรือช่วงอื่นที่สะดวกจะละหมาด
หลักฐานคือ:
ฮะดีษของท่านญาบิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ที่กล่าวว่า: ท่านเราะซูลุลลอฮ์ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า: “ใครที่เกรงว่าจะไม่ตื่นในช่วงสุดท้ายของคืนก็จงละหมาดวิตร์ในช่วงแรกของคืน และใครปรารถนาจะละหมาดช่วงสุดท้ายของคืนก็จงละหมาดวิตร์ในช่วงสุดท้ายของคืน เพราะการละหมาดช่วงสุดท้ายของคืนจะมีพยานยืนยัน และนั่นคือสิ่งที่ประเสริฐกว่า” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่755)
และคำสั่งเสียของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมแก่ อบู ซัรร์ ก็มาสนับสนุนระดับที่สามนี้ด้วย (บันทึกโดยอันนะซาอีย์ ฮะดีษลำดับที่ 2712 อัลอัลบานีย์กล่าวว่า: เศาะฮีห์ ดู อัศเศาะฮีหะฮ์ 2166)
และท่านนบีก็สั่งเสียแก่ท่านอบู ดัรดาอ์ (บันทึกโดยอะห์มัด ฮะดีษลำดับที่ 27481 บันทึกโดยอบูดาวูด ฮะดีษลำดับที่ 1433 อัลอัลบานีย์กล่าวว่า: เศาะฮีห์ ใน เศาะฮีห์ อบี ดาวูด 5/177)
และสั่งเสียแก่อบู ฮุร็อยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 737)
ทั้งสามคนกล่าวเหมือนกันว่า: “นบีที่รักของฉันได้สั่งเสียฉันสามอย่าง” หนึ่งในนั้นคือ “จงละหมาดวิตร์ก่อนนอน”
นี่คือที่สมบูรณ์ที่สุด ตามฮะดีษที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า: “ท่านนบีไม่เคยละหมาดซุนนะฮ์เกินสิบเอ็ดร็อกอะฮ์ไม่ว่าจะในเดือนเราะมะฎอนหรือเดือนอื่นๆ" (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 1147 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 734)
และมีสายรายงานที่บอกว่าแท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมละหมาดสิบสามร็อกอะฮ์ บันทึกโดยมุสลิมในเศาะฮีห์ของท่านจากฮะดีษของท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา เช่นกัน
นี่ก็เพราะการละหมาดวิตร์มีหลายแบบ ส่วนใหญ่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะละหมาดสิบเอ็ดร็อกอะฮ์ แต่บางครั้งท่านก็ละหมาดสิบสามร็อกอะฮ์ นี่คือข้อสรุปของการรวมฮะดีษในประเด็นนี้
ก. ฮะดีษที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา รายงานว่า: เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ลุกขึ้นละหมาดกิยามุลลัยล์ท่านเริ่มละหมาดของท่านด้วยดุอาอ์ว่า:
"اللَّهُمَّ رَبَّ جَبْرَائِيلَ وَمِيكَائِيلَ وَإِسْرَافِيلَ فَاطِرَ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ، عَالِمَ الْغَيْبِ وَالشَّهَادَةِ أَنْتَ تَحْكُمُ بَيْنَ عِبَادِكَ فِيمَا كَانُوا فِيهِ يَخْتَلِفُونَ اهْدِنِي لِمَا اخْتُلِفَ فِيهِ مِنَ الْحَقِّ بِإِذْنِكَ إِنَّكَ تَهْدِي مَنْ تَشَاءُ إِلَى صِرَاطٍ مُسْتَقِيم"
อ่านว่า “อัลลอฮุมมะ ร็อบบะ ญิบรออีล วะ มีกาอีล วะอิซรอฟีล, ฟาฏิร็อส สะมาวาติ วัลอัรฎิ, อาลิมัล ฆ็อยบิ วัชชะฮาดะฮ์, อันตะ ตะห์กุมุ บัยนะ อิบาดิกะ ฟีมา กานู ฟีฮิ ยัคตะลิฟูน, อิฮ์ดินี ลิมัคตุลิฟะ ฟีฮิ มินัลฮักกิ บิอิซนิก, อินนะกะ ตะฮ์ดี มันตะชาอุ อิลา ศิรอฏิน มุสตะกีม"
ความว่า “โอ้อัลลอฮ์พระเจ้าของญิบรีล มีกาอีล และอิสรอฟีล ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งที่ซ่อนเร้นและเปิดเผย พระองค์เป็นผู้ตัดสินระหว่างปวงบ่าวในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน โปรดชี้ทางที่เที่ยงแท้ให้แก่ฉันด้วยอนุมัติของพระองค์ แท้จริงพระองค์คือผู้ให้ทางนำแก่ผู้ที่ทรงประสงค์สู่หนทางที่เที่ยงตรง” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 770)
ข. ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า: เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ละหมาดตะฮัจญุด ท่านจะกล่าวว่า:
"اللَّهُمَّ لَكَ الْحَمْدُ أَنْتَ نُورُ السَّمَوَاتِ وَالْأَرْضِ وَلَكَ الْحَمْدُ أَنْتَ قَيِّمُ السَّمَوَاتِ وَالْأَرْضِ وَلَكَ الْحَمْدُ أَنْتَ رَبُّ السَّمَوَاتِ وَالْأَرْضِ وَمَنْ فِيهِنَّ أَنْتَ الْحَقُّ وَوَعْدُكَ الْحَقُّ وَقَوْلُكَ الْحَقُّ وَلِقَاؤُكَ الْحَقُّ وَالْجَنَّةُ حَقٌّ وَالنَّارُ حَقٌّ وَالنَّبِيُّونَ حَقٌّ وَالسَّاعَةُ حَقٌّ اللَّهُمَّ لَكَ أَسْلَمْتُ وَبِكَ آمَنْتُ وَعَلَيْكَ تَوَكَّلْتُ وَإِلَيْكَ أَنَبْتُ وَبِكَ خَاصَمْتُ وَإِلَيْكَ حَاكَمْتُ فَاغْفِرْ لِي مَا قَدَّمْتُ وَمَا أَخَّرْتُ وَمَا أَسْرَرْتُ وَمَا أَعْلَنْتُ أَنْتَ إِلَهِي لَا إِلَهَ إِلَّا أَنْتَ"
อ่านว่า “อัลลอฮุมมะ ละกัลฮัมดุ อันตะ นูรุซซะมาวาติ วัลอัรฎิ, วะละกัลฮัมดุ อันตะ ก็อยยิมุซ ซะมาวาติ วัลอัรฎิ, วะละกัลฮัมดุ อันตะ ร็อบบุซ ซะมาวาติ วัรอัรฎิ วะมัน ฟีฮินนะ, อันตัล ฮักกุ วาวะอฺดุกัล ฮักกุ, วะเกาลุกัล ฮักกุ, วะลิกออุกัล ฮักกุ, วัลญันนะตุ ฮักกุน วันนารุ ฮักกุน, วันนะบียูนะ ฮักกุน, วัซซาอะตุ ฮักกุน, อัลลอฮุมมะ ละกะ อัซลัมตุ, วะบิกะ อามันตุ, วะอะลัยกะ ตะวักกัลตุ, วะอิลัยกะ อะนับตุ, วะบิกะ คอศ็อมตุ, วะอิลัยกะ ฮากัมตุ, ฟัฆฟิรลี มา ก็อดดัมตุ วะมา อัคค็อรตุ, วะมา อัซร็อรตุ วะมา อะอฺลันตุ, อันตะ อิลาฮี ลาอิลาฮะ อิลลา อันตะ”
ความว่า "การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ พระองค์เป็นแสงสว่างแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ พระองค์เป็นผู้ทรงจัดการชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ พระองค์เป็นผู้ทรงอภิบาลแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ในนั้น พระองค์คือพระเจ้าที่แท้จริง คำสัญญาของพระองค์เป็นจริง คำพูดของพระองค์สัจจริง การพบกับพระองค์มีจริง สวรรค์มีจริง นรกมีจริง บรรดานบีมีจริง วันกิยามะฮ์เป็นความจริง โอ้อัลลอฮ์ ข้ายอมจำนนต่อพระองค์ ข้าศรัทธาต่อพระองค์ ข้ามอบหมายต่อพระองค์ ข้าสำนึกผิดต่อพระองค์ ข้าขอคำตัดสินจากพระองค์ ข้าขอฟ้องร้องต่อพระองค์ โปรดอภัยโทษให้แก่ข้าพระองค์ในความผิดในอดีตและอนาคต ในที่ลับและเปิดเผย พระองค์คือพระเจ้าของข้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 7499 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 768)
ก. อ่านด้วยความชัดถ้อยชัดคำ ตรึกตรอง คือไม่อ่านอย่างรีบร้อน
ข. อ่านเว้นวรรคทีละอายะฮ์ ความหมายคือไม่อ่านแบบรวมสองหรือสามอายะฮ์โดยไม่หยุดเว้นวรรคเลย แต่ให้เว้นทีละอายะฮ์
ค. เมื่ออ่านผ่านอายะฮ์ที่มีการตัสบีห์ก็จงกล่าวว่า ซุบฮานัลลอฮ์ เมื่ออ่านผ่านอายะฮ์เกี่ยวกับการขอก็จงขอ เมื่ออ่านผ่านอายะฮ์เกี่ยวกับการขอความคุ้มครองก็จงขอความคุ้มครอง
หลักฐานคือ:
ฮะดีษที่ท่านฮุซัยฟะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: “คืนหนึ่งฉันได้ละหมาดพร้อมกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านอ่านซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ ฉันนึกว่าท่านจะรุกูอ์อายะฮ์ที่หนึ่งร้อย แต่ท่านอ่านต่อ ฉันนึกต่อไปอีกว่าท่านอาจจะอ่านซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ในหนึ่งร็อกอะฮ์จบแล้วท่านก็คงจะรุกูอ์ แต่ท่านก็อ่านต่อ ท่านเริ่มซูเราะฮ์อาละอิมรอน อ่านจบก็ต่อด้วยซูเราะฮ์อันนิซาอ์ ท่านอ่านอย่างสุขุม เมื่อผ่านอายะฮ์ตัสบีห์ท่านก็กล่าวซุบฮานัลลอฮ์ เมื่อผ่านอายะฮ์เกี่ยวกับการวิงวอนขอท่านก็จะวิงวอนขอ เมื่อผ่านอายะฮ์ขอความคุ้มครองท่านก็จะกล่าวขอความคุ้มครอง แล้วท่านจึงรุกูอ์โดยกล่าวว่า: “ซุบฮานะร็อบบียัลอะซีม” ความว่า “มหาบริสุทธิ์แด่พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่” ท่านได้รุกูอ์นานเหมือนที่ท่านยืน แล้วกล่าว “ซะมิอัลลอฮุ ลิมัน ฮะมิดะฮ์” ความว่า “อัลลอฮ์ทรงได้ยินคำสรรเสริญของผู้สรรเสริญ” แล้วท่านก็ยืนนานใกล้เคียงกับตอนรุกูอ์ แล้วท่านก็ซุญูดและกล่าวว่า “ซุบฮานะร็อบบิยัลอะอฺลา” ความว่า “มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่ผู้ทรงอภิบาล ผู้ทรงสูงส่ง”ท่านได้ซุญูดนานใกล้เคียงกับตอนยืน” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 772)
ท่านหญิงอุมมุ ซะละมะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า: นางเคยถูกถามถึงการอ่านอัลกุรอานของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นางตอบว่า ท่านอ่านเว้นวรรคทีละอายะฮ์ทีละอายะฮ์ [บิสมิลลาฮิรเราะห์มานิรเราะฮีม แล้วหยุด อัลฮัมดุลิลลาฮิร็อบบิลอาละมีน แล้วหยุด อัรเราะห์มานิรเราะฮีม แล้วหยุด มาลิกิเยามิดดีน แล้วหยุด] ความว่า “ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปรานียิ่ง การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปรานียิ่ง ผู้ทรงอำนาจเด็ดขาดในวันตัดสิน” (บันทึกโดยอะห์มัด ฮะดีษลำดับที่ 26583 อัดดาเราะกุฏนีย์กล่าวว่า : สายรายงานเศาะฮีห์ เชื่อถือได้ทุกคน ดูลำดับที่ 118 อันนะวะวีย์กล่าวว่า:เศาะฮีห์ ดู อัลมัจญ์มูอฺ 3/333)
ท่านอิบนุ อุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า: ชายคนหนึ่งยืนขึ้นและพูดว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ละหมาดกิยามุลลัยล์นั้นทำอย่างไร? ท่านเราะซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่า: “ละหมาดกิยามุลลัยล์ ทำทีละสองร็อกอะฮ์ หากเกรงว่าใกล้ถึงเวลาศุบห์ก็จงละหมาดวิตร์เสียก่อนหนึ่งร็อกอะฮ์” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 990 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 749)
ความหมายของคำว่า (ทีละสอง ทีละสอง) คือ ละหมาดสองร็อกอะฮ์แล้วให้สลาม ไม่ละหมาดรวมทีเดียวสี่ร็อกอะฮ์
ในสามร็อกอะฮ์สุดท้าย ร็อกอะฮ์แรกให้อ่านซูเราะฮ์ อัลอะอฺลา ร็อกอะฮ์ที่สองให้อ่านซูเราะฮ์ อัลกาฟิรูน ร็อกอะฮ์ที่สามให้อ่านซูเราะฮ์ อัลอิคลาศ เท่านั้น
หลักฐานคือ:
ฮะดีษของท่านอุบัยย์ บิน กะอฺบ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: “ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ละหมาดวิตร์ด้วยซูเราะฮ์ อัลอะอฺลา ซูเราะฮ์ อัลกาฟิรูน และซูเราะฮ์ อัลอิคลาศ” (บันทึกโดยอบูดาวูด ฮะดีษลำดับที่ 1423 บันทึกโดยอันนะซาอีย์ ฮะดีษลำดับที่ 1733 บันทึกโดยอิบนุ มาญะฮ์ ฮะดีษลำดับที่ 1171 อันนะวะวีย์วินิจฉัยว่าเศาะฮีห์ ดูในอัลคุลาเศาะฮ์ 1/556 และอัลอัลบานีย์ก็กล่าวว่าเศาะฮีห์เช่นกัน ใน เศาะฮีห์ อันนะซาอีย์ 1/273)
หมายถึงให้อ่านดุอาอ์กุนูตในร็อกอะฮ์ที่สามที่อ่านซูเราะฮ์อัลอิคลาศ
ดุอาอ์กุนูตในละหมาดวิตร์มีซุนนะฮ์ให้อ่านเป็นบางครั้ง ด้วยหลักฐานที่ชัดเจนจากการปฏิบัติของบรรดาเศาะฮาบะฮ์ในบางครั้งและละเว้นในบางครั้ง ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ์ได้เลือกทัศนะนี้ และควรละเว้นมากกว่าปฏิบัติ
ต้องยกมือหรือไม่ขณะอ่านดุอาอ์กุนูตในละหมาดวิตร์?
ทัศนะที่ถูกต้องคือ: นักวิชาการส่วนใหญ่บอกว่าต้องยกมือ เพราะฮะดีษของท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ในบันทึกของอัลบัยฮะกีย์และท่านกล่าวว่าเศาะฮีห์
อัลบัยฮะกีย์กล่าวว่า: “แท้จริงเศาะฮาบะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม จำนวนมากยกมือในดุอาอ์กุนูตวิตร์” (ดูใน อัสซุนัน อัลกุบรอ 2/211)
ประเด็น : ดุอาอ์กุนูตในละหมาดวิตร์เริ่มด้วยอะไร?
ทัศนะที่มีน้ำหนักที่สุด คือ เริ่มด้วยการสรรเสริญต่ออัลลอฮ์ แล้วกล่าวเศาะละวาตแก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วก็ดุอาอ์ เพราะนี่คือสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดกับการที่ดุอาอ์จะถูกตอบรับมากที่สุด
หลักฐานคือ:
ฮะดีษของท่านฟะฎอละฮ์ บิน อุบัยด์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ยินชายคนหนึ่งขอดุอาอ์ในละหมาดของเขาโดยไม่ได้กล่าวเศาะละวาตแก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านจึงกล่าวว่า: “เขาผู้นี้รีบร้อน” แล้วท่านก็เรียกเขา พูดกับเขาและคนอื่นๆ ว่า “เมื่อผู้ใดขอดุอาอ์ เขาจงเริ่มด้วยการสรรเสริญต่ออัลลอฮ์และเศาะละวาตต่อฉัน หลังจากนั้นเขาก็จงขอดุอาอ์ตามต้องการ” (บันทึกโดยอัตติรมีซีย์ ฮะดีษลำดับที่ 3477 และท่านกล่าวว่า เป็นฮะดีษ ฮะซัน เศาะฮีห์)
ท่านอิบนุล ก็อยยิม เราะฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่า: “ซุนนะฮ์ให้ผู้ขอดุอาอ์เริ่มด้วยการสรรเสริญต่ออัลลอฮ์ก่อนที่เขาจะขอตามความปรารถนาของเขา ดังปรากฏในฮะดีษของท่านฟะฎอละฮ์ บิน อุบัยด์” (ใน อัลวาบิล อัศศ็อยยิบ หน้า 110)
หลังดุอาอ์เสร็จ ต้องเอามือทั้งสองลูบหน้าหรือไม่?
ที่ถูกต้องคือ: ไม่มีซุนนะฮ์ให้ลูบหน้าหลังจากดุอาอ์เสร็จ เพราะไม่มีหลักฐานที่เศาะฮีห์ใดๆ ยืนยันเลย
อิมามมาลิก เราะฮิมะฮุลลอฮ์ เคยถูกถามถึงผู้ชายคนหนึ่งที่ลูบหน้าของเขาด้วยฝ่ามือทั้งสองขณะดุอาอ์ ท่านไม่เห็นด้วย แล้วกล่าวว่า “ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน” (ดูใน กิตาบ อัลวิตร์ ของ อัลมิรวะซีย์ หน้า 236)
ชัยคุลอิสลาม เราะฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่า “ส่วนประเด็นการลูบหน้าด้วยมือทั้งสองนั้นไม่มีหลักฐานใดๆ ยืนยัน นอกจากหนึ่งฮะดีษหรือสองฮะดีษ ซึ่งทั้งสองฮะดีษไม่อยู่ในสถานะที่นำมาเป็นหลักฐานได้” (ดู อัลฟาตะวา 22/519)
ซุนนะฮ์ที่เน้นหนักในช่วงสุดท้ายของคืนคือการขอดุอาอ์ หากเขาขอดุอาอ์ในกุนูตช่วงสุดท้ายของคืนเรียบร้อยแล้ว ก็ถือเป็นการเพียงพอสำหรับเขา แต่หากยังไม่ขอก็จงขอดุอาอ์ในเวลานี้ เพราะเป็นเวลาที่ถูกเน้นถึงการตอบรับดุอาอ์ เป็นเวลาที่อัลลอฮ์ อัซซะวะญัลล์ ลงมาสู่ฟากฟ้าของโลกดุนยา ดังที่ถูกบันทึกในหนังสือเศาะฮีห์ทั้งสอง จากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “ในช่วงหนึ่งส่วนสามสุดท้ายของทุกๆ คืน พระผู้ทรงอภิบาลของเราจะลงมาสู่ฟ้าดุนยา และตรัสว่า: ใครขอดุอาอ์ต่อข้า ข้าจะตอบรับเขา ใครขอสิ่งใดจากข้า ข้าจะให้แก่เขา ใครขออภัยโทษต่อข้า ข้าจะให้อภัยแก่เขา” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 1145 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 758)
หลักฐานคือ:
จากท่านอุบัยย์ บิน กะอฺบ์ กล่าวว่า: ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อ่าน “ซับบิฮิสมะ ร็อบบิกัล อะอฺลา และกุลยา อัยยุฮัล กาฟิรูน และกุลฮุวัลลอฮุ อะฮัด ในละหมาดวิตร์ เมื่อให้สลามเสร็จท่านจึงกล่าวว่า: ซุบฮานัล มะลิกิล กุดดูซ สามครั้ง" (บันทึกโดยอันนะซาอีย์ ฮะดีษลำดับที่ 1702 อันนะวะวีย์และอัลอัลบานีย์กล่าวว่าเศาะฮีห์)
และในฮะดีษของท่านอับดุรเราะห์มาน บิน อับซา เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: “ท่านกล่าว ซุบฮานัล มะลิกิล กุดดูซ ด้วยเสียงดังมากขึ้นในครั้งที่สาม” (บันทึกโดยอะห์มัด ฮะดีษลำดับที่ 15354 บันทึกโดยอันนะซาอีย์ ฮะดีษลำดับที่ 1734 อัลอัลบานีย์กล่าวว่า:เศาะฮีห์ ใน ตะห์กีก อัลมะศอบีห์ 1/398)
มีซุนนะฮ์ให้ผู้ชายปลุกครอบครัวขึ้นมาละหมาดกิยามุลลัยล์ หากผู้หญิงตื่นก่อนก็มีซุนนะฮ์ให้เธอปลุกสามีของเธอลุกขึ้นมาละหมาด สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวก็เช่นกัน นี่เป็นการร่วมมือช่วยเหลือกันในสิ่งที่เป็นความดี
หลักฐานคือ:
ฮะดีษที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า: “ทุกครั้งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ละหมาดกิยามุลลัยล์ ขณะที่ฉันนอนอยู่ระหว่างท่านและกิบละฮ์ เมื่อท่านจะละหมาดวิตร์เสร็จท่านก็ปลุกฉัน แล้วฉันก็ละหมาดวิตร์” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 512 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 512)
ท่านหญิงอุมมุ ซะละมะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า: "เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตื่นนอนท่านกล่าวว่า “มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ สิ่งมีค่าใดถูกประทานมาจากขุมคลังบ้าง การทดสอบใดถูกส่งมาบ้าง ใครจะปลุกเจ้าของห้องเหล่านี้(ท่านหมายถึงภรรยาของท่าน)? เพื่อให้พวกนางได้ละหมาด บางทีผู้ที่สวมเสื้อผ้าในดุนยา อาจจะต้องเปลือยกายในอาคิเราะฮ์” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 6218)
- เมื่ออ่อนล้าก็ให้นั่งละหมาด
จากท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: “ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เข้ามายังมัสยิด พบเชือกถูกผูกไว้กับเสาสองต้น ท่านกล่าวว่า: “นี่อะไร?” พวกเขาตอบว่า: มันเป็นของซัยนับ นางใช้ในตอนละหมาด เมื่อนางรู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนเพลียนางก็จะจับเชือกไว้ ท่านนบีจึงกล่าวว่า: “จงแก้มันออก ให้ทุกคนละหมาดด้วยการดูสภาพความกระฉับกระเฉงของตัวเอง เมื่อขี้เกียจหรืออ่อนเพลียก็จงนั่งละหมาด” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 1150 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 784)
- หากง่วงก็จงไปนอน แล้วค่อยตื่นขึ้นมาละหมาด
ท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า:แท้จริงท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า: “เมื่อผู้ใดง่วงนอนในละหมาด จงไปนอนให้หายง่วงเสียก่อน เพราะแท้จริงผู้ใดที่ละหมาดตอนง่วง บางทีเขาอาจจะอยากกล่าวขออภัยโทษแต่กลับด่าตัวเองโดยไม่รู้ตัวก็ได้” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษลำดับที่ 212 บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 786)
- เช่นกันหากเขาอ่านอัลกุรอานแล้วเกิดอาการง่วง มีซุนนะฮ์ให้ไปนอนเสียก่อนเพื่อให้มีแรง
อ้างจากฮะดีษที่ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “เมื่อผู้ใดลุกขึ้นมาละหมาดกิยามุลลัยล์ แล้วเขาอ่านอัลกุรอานไม่เป็นภาษา และไม่รู้ว่าอ่านอะไรไป ก็จงไปนอนเสียก่อน” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 787)
หากปกติเขาละหมาดวิตร์สามร็อกอะฮ์แต่คืนหนึ่งเขาไม่ได้ละหมาดเนื่องจากง่วงนอนหรือไม่สบาย ก็ให้เขาละหมาดตอนกลางวันสี่ร็อกอะฮ์ หากปกติเขาละหมาดวิตร์ห้าร็อกอะฮ์ก็ต้องละหมาดทดแทนตอนกลางวันหกร็อกอะฮ์ เป็นต้น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยปฏิบัติเช่นนั้น และโดยปกติแล้ว ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะละหมาดวิตร์สิบเอ็ดร็อกอะฮ์ เพราะท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า: “เมื่อท่านง่วงหรือไม่สบายท่านจะละหมาดกิยามุลลัยล์ในตอนกลางวันสิบสองร็อกอะฮ์” (บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษลำดับที่ 764)
